วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


แนะนำร้านค้า
ร้านอาหาร บูมสเต็ก ( Boom steak )


ร้านอาหารบูมสเต็กจะเป็นร้านอาหารเกี่ยวกับ สเต็ก เบอร์เกอร์ ซุป สลัด ซีฟุต


อาหารจานเดียวและอาหารตามสั่ง












บรรยากาศนอกร้านและในร้าน มีที่นั่งที่ท่านสมารถเลือกได้ถึงสองโซน คือ ด้านนอกร้าน ที่ติดถนนทำให้เราเห็นรถวิ่งผ่านไปมา แล้วในร้านที่เปิดแอร์เย็นช่ำสบาย













ที่ร้านยังมีเมนูรายการอาหารที่หลากหลายที่ให้เราได้เลือกกิน ไม่ว่าจะเป็น สเต็ก ซุป สลัด ซีฟุต และอาหารตามสั่งต่าง ๆ ที่เราต้องการ แล้วยังมีน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำหวาน น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ ที่อร่อยทุกอย่าง













ที่ตั้ง : ของร้านบูมสเต็ก ถนน มมส. ตรงข้ามหอพักพิมพลอย

เบอร์โทรติดต่อสั่งจองโต๊ะ : 087-4343-645

ช่วงเวลาเปิดทำการ : 10.00 - 22.00 น.

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

เคลับลับความสวย



คาโมมายล์
ใช้ได้ทั้งแบบสดและแห้งในรูปของดอกแห้งอัดเป็นก้อน หรือต้มเพื่อเอาแต่น้ำ สามารถใช้ผสมน้ำเพื่อแช่ตัวหรือใช้ในการอบไอน้ำก็ได้ค่ะ
น้ำผึ้ง
เป็นส่วนผสมชั้นดีในการมาส์กหน้า หรือเป็นส่วนผสมในการทำสครับ ช่วยเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณ
ไข่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งไข่แดงและไข่ขาว ไข่แดงช่วยบำรุงผิวหน้า ผิวกาย และเส้นผม ส่วนไข่ขาวช่วยดึงสิ่งสกปรกออกจากผิวหนังได้ค่ะ

ข้าวโอ๊ต
ช่วยขัดผิวและทำให้ผิวนุ่มนวลขึ้น เป็นส่วนผสมสำคัญของสครับและครีมสำหรับพอกบำรุงผิวเกลือ
ช่วยคืนความกระชับสดใสให้กับผิว ด้วยการดึงน้ำส่วนเกินในผิวออกและเติมแร่ธาตุที่มีประโยชน์ลงไป การชำระผิวด้วยน้ำผสมเกลือทะเล เป็นการเตรียมผิวเพื่อให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นต่อไปได้ด้วย
ขมิ้น
สมุนไพรที่เรารู้จักกันดี เป็นส่วนประกอบสำคัญของการทำมาส์กและสครับ รวมทั้งมีสรรพคุณในการรักษาด้วย

น้ำตาล

อีกหนึ่งส่วนผสมที่นิยมใช้ทำสครับ ช่วยขัดผิวและทำให้ผิวนุ่มนวลขึ้น
แตงกวา
มักใช้เพื่อทำมาส์กเพื่อช่วยเติมน้ำและความชุ่มชื้นให้กับผิว ให้ความเย็นสดชื่นและยังช่วยกระชับผิวได้อีกด้วย

น้ำมันสกัดต่าง ๆ
น้ำมันสกัดจากพืชพรรณต่าง ๆ ใช้เป็นออยล์เพื่อให้การนวดเป็นไปอย่างราบรื่น หรือเป็นส่วนผสมสำหรับมาส์กเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวค่ะ

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

"เราจะเตรียมตัวสอบกลางภาคอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ"


เราจะเตรียมตัวสอบกลางภาคอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ







วิธีการเตรียมตัวนั้นเป็นวิธีการเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล แต่ทุกวิธีการต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสอบได้ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ผู้เตรียมตัวสอบทุกคนจำเป็นต้องมีเหมือนกัน หากอยากจะสอบติดก็คือ ต้องมี “ความเพียร” และมีวินัยในตนเอง กล่าวคือควรที่จะต้องกำหนดเป้าหมายในชีวิตให้ได้ว่าในระยะสั้นเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ต้องอ่านหนังสือวันละกี่ชั่วโมง เมื่อตั้งเป้าไว้แล้วก็ต้องทำให้ได้ และในระยะยาวเรามีเป้าหมายสูงสุดอย่างไร โดยต้องทำในแต่ละช่วงให้ดีที่สุด ซึ่งในการสอบรับราชการทุกหน่วยงานทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถ้าถามว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรนั้น โดยหลักทั่ว ๆ ไปที่ผู้แนะนำเคยนำมาใช้และปฏิบัติแล้วได้ผลจริง พอสรุปได้ดังนี้

1. หากคุณมีความต้องการที่จะสอบแข่งขันในสนามสอบของหน่วยงานใดแล้ว ก็จำเป็นที่คุณจะต้องศึกษารายละเอียดในส่วนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสอบ เช่น คุณจะสอบในตำแหน่งใด ก็ต้องหาข้อมูลว่าตำแหน่งนั้นปฏิบัติงานในลักษณะใด มีระเบียบกฎหมายใดที่เกี่ยวข้องบ้าง ข้อมูลโดยทั่วไปเกี่ยวกับหน่วยงานนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ควรต้องทราบด้วย


2. เมื่อทำการศึกษาเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ก็ต้องทำการเตรียมวัตถุดิบหรือ การ “เตรียมข้อมูลนั่นเอง” ซึ่งอาจใช้วิธีการคัดเลือกตำราดี ๆ ให้ได้อย่างน้อยสัก 2 – 3 เล่ม เพื่อใช้ประโยชน์ในการอ่านเปรียบเทียบ และเพื่อ ให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอไม่น้อยจนเกินไป


3. หลักการอ่านก็ควรอ่านทั้งเนื้อหา และฝึกทำข้อสอบย้อนหลัง ซึ่งการได้ฝึกทำข้อสอบเก่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เรารู้ขอบเขตเนื้อหาว่าข้อสอบจะออก ประ


มาณใหน


4. การอ่านหนังสือให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องมี DIRECTION ไม่ใช่อ่านแบบสะเปะสะปะ เพราะเนื้อหาจะกว้างเกินไปจนจับต้นชนปลายไม่ถูก การหา DIRECTIONนี่แหละคือ เคล็ดวิชาอย่างแท้จริง ซึ่งวิธีการ คือ กลับไปดูข้อสอบเก่า ๆ ย้อนหลังไปหลาย ๆ ปี แล้วศึกษา และจับทางข้อสอบให้ได้ หากจับทางข้อสอบได้แล้ว การสอบในครั้งนั้นหรือครั้งต่อ ๆ ไปก็จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย เพราะการสอบรับราชการในปัจจุบันเกือบทุกกระทรวง ทบวง กรม ลักษณะข้อสอบแทบจะไม่ต่างกันเลย โดยเฉพาะในหมวดความรู้ความสามารถทั่วไป และภาษาไทย จะแตกต่างกันบ้างก็ตรงในส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น


5. การอ่านหนังสือทุกครั้ง ต้องมีเป้าหมาย ต้องให้เข้าใจและจำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องทั้งเข้าใจและจำได้ พร้อมกันในคราวเดียว เพราะนั่นเป็นความสามารถของพวกอัจฉริยะ แต่คนอย่างเรา ๆ ค่อย ๆ ทำไปทีละอย่าง ซึ่งบางครั้งต้องมีเทคนิคการบังคับจิตให้ยอมเข้าใจ ยอมจำ การอ่านเรื่อย ๆ สักแต่ให้สายตาผ่านตัวหนังสือไปไม่มีประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่าครับ

@ เมื่ออ่านไปแล้ว ประเด็นใดสำคัญก็ต้องขีดเส้นใต้ หรือ เน้น ๆ คำนั้นไว้เพื่อการอ่านใน


รอบต่อ ๆไป จะกระชับเข้า


@ การจดบันทึกความรู้รอบตัว /เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศก็เป็นข้อมูลสำคัญที่มักจะออกนำมาออกข้อสอบทุกสนาม ซึ่งควรมีข้อมูลจากปัจจุบันย้อนหลังไปอย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปี


6. การแบ่งเวลา คือ ขั้นตอนการปฏิบัติของความเพียรและการมีวินัย คุณต้องกำหนดและบังคับตนเองให้ได้ว่าในแต่ละวัน จะทำอะไรเมื่อไหร่ และจะอ่านหนังสือเมื่อใด หนึ่งวันอ่านกี่ชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงใกล้สอบ ต้องกำหนดตารางเวลาไว้และต้องปฏิบัติตามให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้7. ทางที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จของใครคนหนึ่งนั้นไม่อาจได้มาโดยง่ายดาย แต่ต้องใช้ความอดทนการเสียสละความสุขเล็กๆน้อย ๆ เพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งหากเรามีความเพียร มีวินัย และได้ใช้ความพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรนั้น อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ไม่ต้องสนใจเป็นไงเป็นกัน แต่จงเชื่อมั่นและศรัทธาในความฝัน แล้วทำมันให้เป็นจริง …. สู้ สู้ สู้ไม่ถอยเท่านั้นที่ครองโลก....JJJ





หลักการรอ่าน(เพิ่มเติม)




1) แบ่งเวลาดูหนังสือให้เหมาะสม ควรแบ่งเวลาดูหนังสือให้มากกว่าปกตินิดหน่อย แต่ไม่หักโหมจนเกินไป แต่ต้องบังคับตัวเองตามตารางที่กำหนดไว้ให้ได้


2) ทำโน๊ตย่อ วิธีที่จะช่วยความจำได้ดีก็คือ ทำโน๊ตย่อข้อความที่สำคัญเอาไว้ดูทบทวน การใช้ปากกาสีขีดเส้นใต้ ก็ช่วยได้มาก แถมทำให้ไม่ง่วงนอนด้วย


3) รู้ขอบข่ายของข้อสอบที่จะออกนั้นกินเนื้อหาแค่ไหน เรื่องอะไรบ้าง


4) พิจารณาแนวข้อสอบเก่า ๆ เพื่อจะได้รู้แนวทางว่า ขัอสอบจะออกแบบไหน


5) เลิกวิตกกังวล ทำใจให้ปรกติ เมื่อเข้าห้องสอบ






6) ถ้าข้อสอบออกแบบอัตนัย นักเรียนต้องอ่านคำถามให้เข้าใจเสียก่อน ให้รู้ว่าเขาต้องการทดสอบความรู้อะไรจากเรา


7) ควรเลือกข้อสอบที่คิดว่าจะทำได้ทำก่อนเพื่อสร้างกำลังใจ


8) ถ้าเป็นการตอบแบบข้อสอบปรนัย จงทำตามลำดับข้อ ข้อไหนทำไม่ได้ให้ นักเรียนทำเครื่องหมายไว้ แล้วให้ผ่านไปทำข้ออื่นต่อไป แล้วค่อยกลับมาทวนทำอีกครั้ง


9) ไม่ต้องรีบร้อนทำ รวบรวมสมาธิ สติปัญญา ทำอย่างรอบคอบและเต็มความสามารถ


10) อ่านคำสั่งให้แน่ชัดว่า เขาให้ทำกี่ข้อ อย่าทำเกินหรือขาด เพราะมีผลเสียแก่เราทั้งสองทาง